เมนู

10. มารตัชชนียสูตร



[557 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในเภสกลาวัน
เขตเมืองสุงสุมารคีระ ในภัคคชนบท.

ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอบยู่ในที่แจ้ง ถูกมารผู้ลามก
เข้าไปในท้องในไส้ ได้มีความดำริว่า "ท้องเราเป็นดั่งว่ามีก้อนหินหนักๆ
และเป็นเช่นกะทออันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ. จึงลงจากจงกรม
แล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้. ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจถึงมารที่
ลามกด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.

[558] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้อง
ในไส้แล้ว ครั้นแล้วจึงเรียกว่า "มารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออก
มา ท่านอย่างเบียดเบียน พระตถาคตเจ้าและสาวกของพระตถาคต เจ้า
เลย การเบียดเบียนนั้นอย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์แก่ท่าน
ตลอดกาลนาน"

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปมีความดำริว่า "สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา
จึงกล่าวว่า "มารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียน
พระตถาคตเจ้าและสาวกของพระตถาคตเจ้าเลย การเบียดเบียนนั้น อย่าได้มี
เพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน" ดังนี้ แล้วจึงดำริ
ว่า "แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่พึงรู้จักเราได้เร็วไว ก็สมณะที่เป็นสาวก
ไฉนจักรู้จักเรา.

ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้บอกมารชั่วว่า "มารผู้
ลามก เรารู้จักท่านแม้ด้วยเหตุนี้แล" ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่รู้จัก
เรา ท่านเป็นมาร ท่านมีความดำริว่า " สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา จึงกล่าว
ว่า "มารผู้ลามก ท่านออกมา ฯลฯ ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉนจักรู้จักเรา."
ลำดับนั้น มารผู้ชั่วได้มีความดำริว่า "สมณะนี้รู้จักและเห็นเรา
จึงกล่าวว่า มารผู้ลามก ท่านจงออกมา ฯลฯ การเบียดเบียนนั้น อย่าได้มี
เพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน" ดังนี้ แล้วจึงออก
จากปากท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบานประตู.
[559] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นมารผู้ลามกยืนอยู่ที่ข้าง
บานประตู ครั้นแล้วจึงกล่าวว่า " มารผู้ลามก เราเห็นท่าน แม้ที่ข้างบานประตู
นั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า "สมณะนี้ไม่เห็นเรา" ท่านยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู
"มารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว เราเป็นมารชื่อทูสี มีน้องหญิงชื่อกาลี ท่าน
เป็นบุตรน้องหญิงของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์มีคู่พระมหาสาวกชื่อวิธุระและชื่อสัญชีวะ
เป็นคู่เจริญเลิศ. พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประมาณเท่าใด ในพระสาวกมีประ
มาณเท่านั้น ไม่มีองค์ใดที่จะสม่ำเสมอด้วยท่านพระวิธุระในทางธรรมเทศนา
ด้วยเหตุนี้ ท่านพระวิธุระจึงมีนามเกิดขึ้นว่า "วิธุระ วิธุระ" ส่วนท่าน
พระสัญชีวะ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมเข้า
สัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยความลำบากเล็กน้อย มารผู้ลามก เรื่องเคยมี
แล้ว ท่านพระสัญชีวะ นั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ที่โคนต้นไม้แห่ง
หนึ่ง. พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกคนไถนา และพวกคนเดิน

ทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะ นั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ที่โคนต้นไม้แห่ง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้พูดกันว่า "ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์แปสกปลาดหนอ
พระสมณะนี้ นั่งทำกาละเสียแล้ว ฉะนั้น พวกเราจงเผาท่านเถิด" ครั้ง
นั้น คนเหล่านั้นจึงหาหญ้า ไม้ และโคมัยมากองสุมกายท่านพระสัญชีวะ
เอาไฟจุดเผาแล้วหลีกไป เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว ท่านพระสัญชีวะออกมา
จากสมาบัตินั้นแล้วก็สลัดจีวร เวลาเช้านุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปสู่
บ้านเพื่อบิณฑบาต พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกคนไถนา
และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะ เที่ยวบิณฑบาต แล้วก็พูดกัน
ว่า "ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์ แปลกปลาดหนอ พระสมณะนี้นั่งทำกาละ
แล้ว พระสมณะนี้นั้นกลับมีสัญญาอยู่แล้ว" ด้วยเหตุนี้ ท่านพระสัญชีวะ
จึงได้มีชื่อเกิดขึ้นว่า "สัญชีวะ สัญชีวะ."

[560] "มารผู้ลามก ครั้งนั้นแหละ ทูสีมารมีความดำริว่า "เราไม่
รู้จักความมาและไปของภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ ถ้ากระไร เรา
พึงดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า "มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ
เสียดสี เบียดเบียนพวกภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม ถ้าไฉนภิกษุเหล่า
นั้น ถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น
โดยอาการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง."
ครั้งนั้น ทูสีมารก็ดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีตามดำรินั้น
พวกพราหมณ์และคฤหบดี ฯลฯ ถูกทูสีมารดลใจแล้ว ก็ด่า บริภาษ เสียดสี
เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมว่า "ภิกษุเหล่านี้เป็นสมณะหัว
โล้น เป็นคฤหบดี เป็นค่าง เป็นผู้เกิดแต่หลังเท้าของพรหม" พูดว่า "พวกเรา
เจริญฌาน พวกเราเจริญฌาน" เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน ย่อม
รำพึง ซบเซา หงอยเหงาอยู่ เหมือนนกเค้าจ้องหาหนูที่กิ่งไม้ ฯลฯ และเหมือน

สุนัขจิ้งจอกจ้องหาปลาใกล้ฝั่งน้ำ ฯลฯ และเหมือนแมวจ้องหาหนูที่ที่ต่อเรือนอัน
รุงรัง และกองหยากเยื่อ ฯลฯ และเหมือนลาที่ปลดต่างแล้ว ต่างก็รำพึง
ซบเซา เหงาหงอยอยู่ฉะนั้น มารผู้ลามก ครั้งนั้นมนุษย์เหล่าใดทำกาละ
ไป มนุษย์เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรกโดยมาก.
[561] "มารผู้ลามก ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนาม
ว่ากกุสันธะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว
รับสั่งว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์และคฤหบดีถูกทูสีมารดลใจชักชวน
ว่า มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียนพวกภิกษุผู้มีศีลมี
กัลยาณธรรม ถ้าไฉนภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน
อยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่นโดยอาการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด
พวกเธอจงมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ 1 อยู่เถิด แผ่ไปสู่ทิศที่
2 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 3 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้นมีจิตสหรคต
ด้วยเมตตา อันกว้างขวางเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ไม่ มีเวร ไม่มีพยาบาท
แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน
เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา... มีจิตสหรคต
ด้วยมุทิตา... มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ 1 อยู่เถิด ไปสู่ทิศ
ที่ 2 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 3 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้น มี
จิตสหรคตด้วยอุเบกอันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร
ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไปในที่
ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็

ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ก็มีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ 1 อยู่ แผ่ไปสู่
ทิศที่ 2 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 3 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 4 ก็อย่าง
นั้น มีจิตสหรคตด้วยเมตตาอันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มี
เวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไปในที่
ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ดังนี้. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา...มี
จิตสหรคตด้วยมุทิตา...มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ 1 อยู่ แผ่ไปสู่
ทิศที่ 2 ก็อย่างนั้นแผ่ไปสู่ทิศที่ 3 ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้น
มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ไม่มี
เวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่
ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้.
[562] "มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูลสีมารมีความดำริว่า "เราทำอยู่
แม้ถึงอย่างนี้แล ก็มิได้รู้ความมาหรือความไปของภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม
เหล่านี้เลย ถ้ากระไร เราพึงชักชวนพวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า "เชิญท่าน
ทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณ-
ธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้น อันท่านทั้งหลายสักการะ
เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้
ช่อง มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารจึงชักชวนพราหมณ์และคฤหบดีเหล่า
นั้นว่า "เชิญท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มี
ศีลมีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้น อันท่านทั้งหลายสักการะ
เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้
ช่อง ดังนี้ มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น ถูกทูสี
มารชักชวนแล้วพากันสักการะ เคารพ นับถือบูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลมี
กัลยาณธรรม มารผู้ลามก สมัยนั้นแลมนุษย์เหล่าใดกระทำกาละไป มนุษย์
เหล่านั้น เมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์โดยมาก.

[563] มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
กกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่ง
ว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์และคฤหบดีอันทูสีมารชักชวนว่า "เชิญ
ท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลมีกัลยาณ-
ธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ
เคารพ นับถือบูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้
ช่อง ดังนี้." "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาพิจารณาเห็นในกายว่าไม่
งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่า
ไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด. "มารผู้
ลามก ภิกษุเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็
ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ก็พิจารณาเห็นในกายว่าไม่
งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่า
ไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่."

[564] มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระ
นามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครองสบง แล้วทรง
บาตร และจีวร มีท่านพระวิธุระเป็นปัจฉาสมณะเสด็จเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑ-
บาต มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารเข้าสิงเด็กคนหนึ่ง แล้วเอาก้อนหิน
ขว้างที่ศีรษะท่านพระวิธุระศีรษะแตก. มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ท่านพระ
วิธุระศีรษะแตกเลือดไหลอยู่ เดินตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
กกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหลัง. มารผู้ลามก ครั้งนั้น
แล พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงชำเลืองดูเหมือนช้างชายตาดูด้วยตรัสว่า "ทูสีมารนี้มิได้รู้ประมาณเลย"

มารผู้ลามก ก็แหละทูสีมารเคลื่อนแล้วจากที่นั้น และเข้าถึงมหานรก
พร้อมด้วยพระกิริยาที่ชำเลืองดู.

[565] มารผู้ลามก ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ 3 อย่าง ชื่อฉผัสสายตนิกะ
ก็มี ชื่อสังกุสมาหตะก็มี ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี มารผู้ลามก ครั้งนั้น
แล พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเราแล้วบอกว่า "เมื่อใดแลหลาวเหล็กกับหลาว
เหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่าน เมื่อนั้นท่านพึงรู้ว่า "เราไหม้อยู่ในนรก
พันปีแล้ว." มารผู้ลามก เรานั้นแล หมกไหม้อยู่ในมหานรกนั้นหลายปี
หลายร้อยปี หลายพันปี และหมกไหม้อยู่ในอุสสทะนรกแห่งมหานรกนั้น
แล เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหมื่นปี มีศีรษะเหมือนศีรษะมนุษย์ก็
มี เหมือนศีรษะปลาก็มี."

[566] ทูสีมารประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่ากกุสันธะ แล้ว
ไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร ทูสีมารประทุษร้ายพระ
สาวกชื่อวิธุระและพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่า
กกุสนะ แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้ คือมีหลาว
เหล็กร้อยหนึ่ง ล้วนให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ภิกษุใดเป็น
พระสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักนรกนั้น มารประทุษร้ายภิกษุ
เช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก วิมานทั้งหลายตั้งอยู่ใน
ท่ามกลางสระ มีความตั้งอยู่ตลอดกัป มีสีเหมือนแก้วไพฑูรย์
มีความรุ่งเรือง มีรัศมีโชติช่วง เป็นประภัสสร พวกนาง
อัปสรมีวรรณะต่างๆ เป็นอันมาก ฟ้อนรำอยู่ที่วิมานเหล่านั้น
ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักวิมานนั้น มาร

ประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใด
แล อันพระพุทธเจ้าทรงเตือนแล้ว เมื่อภิกษุสงฆ์เห็นอยู่ ยัง
ปราสาทของมิคารมารดาให้ไหวด้วยปลายนิ้วเท้า ภิกษุใดเป็น
สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุ
เช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดเข้มแข็งด้วยกำลัง
ฤทธิ์ ยังเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยปลายนิ้วเท้า และยังพวก
เทวดาให้สังเวช ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จัก
เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่าง
หนัก ภิกษุใดทูลสอบถามท้าวสักกะในเวชยันตปราสาท
ว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านย่อมรู้ความน้อมจิตไปในธรรมเป็นที่
สิ้นตัณหาบ้างหรือ". ท้าวสักกะถูกถามปัญหาแล้วพยากรณ์
แก่ภิกษุนั้นตามควรแก่กถา ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์
อย่างหนัก ภิกษุใด ย่อมสอบถามพรหม ณ ที่ใกล้สุธรรมาสภา
ว่า "ท่านผู้มีอายุ ทิฏฐิของท่านในวันนี้ และทิฏฐิของท่านมี
ในวันก่อน ท่านย่อมเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้วและรัศมีเป็น
ประภัสสรในพรหมโลกบ้างหรือ" พรหมพยากรณ์แก่ภิกษุนั้นตาม
ลำดับ โดยควรแก่กถาว่า "ท่านผู้นฤทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐิ
นั้น และทิฏฐิในวันก่อน ข้าพเจ้าเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว
แหละเห็นรัศมีเป็นประภัสสรในพรหมโลก (ฉะนั้น) วัน
นี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า "เราเป็นผู้เที่ยงยั่งยืน ได้อย่างไร"
ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษ
ร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใด
ได้กระทบยอดภูเขามหาเนรุด้วย ชมพูทวีปและ ปุพพวิเทหะทวีป

พวกนรชนผู้อยู่ในแผ่นดิน ( ชาวอมรโคยานทวีปและชาว
อุตตระกุรุทวีป) ด้วยวิโมกข์ ภิกษุเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ย่อมรู้เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์
อย่างหนัก ก็คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือด
ร้อนอยู่ว่า "ไฟย่อมไม่คิดจะเผาเรา แต่เราย่อมเผาตนผู้เป็นคน
พาลเอง มาร! ท่านเบียดเบียนพระตถาคตเจ้าแล้ว ต้องประสบ
บาปมิใช่บุญ ท่านอย่าสำคัญว่า "บาปไม่ให้ผลแก่เราหรือ
หนอ" การกชนที่สั่งบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน
มาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า อย่าได้ทำความหวัง (ซึ่ง
ความพินาศ) ในภิกษุทั้งหลายเลย. ภิกษุได้คุกคามมารใน
เภสกลาวัน ด้วยประการฉะนี้ ลำดับนั้น มารนั้นมีความเสีย
ใจ ได้หายไปในที่นั้น ฉะนี้แล."


จบมานตัชชนียสูตรที่ 10

จบจูฬยมกวรรคที่ 5

อรรถกถามารตัชชนียสูตร



มารตัชชนียสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
ในบทเหล่านั้นบทว่า "เข้าไปตามลำไส้" ความว่า เข้าท้องไปแล้ว
เข้าไปตามลำตับภายในลำไส้ใหญ่แล้วนั่งที่กระเพาะอาหาร.
บทว่า "เหมือนหนักกว่า" ความว่า กระด้างเหมือนหนักนัก เช่นกับ
ก้อนแผ่นหิน. อธิบายว่า อาหารที่ทำด้วยถั่ว เห็นจะเหมือนถั่วที่ชุ่ม (ด้วยน้ำ
มัน) ดุจท้องของคนที่กินข้าวแล้ว ดุจกระสอบที่เต็มด้วยถั่ว และดุจถั่วที่ชุ่ม
แล้ว.
บทว่า "เข้าไปวิหาร" ความว่า ถ้านี้เป็นความหนักเพราะโทษของ
อาหาร การจงกรมในที่แจ้งก็จะไม่เป็นความสบาย. ฉะนั้น พระเถระจึงลง
จากที่จงกรมเข้าไปบรรณศาลา นั่งบนอาสนะที่ปูไว้ตามปกติ.
บทว่า "ใส่ใจโดยแยบคายเฉพาะตน" ความว่า เมื่อรำพึงว่า นี่
อะไรหนอแล พระเถระจึงได้ใส่ใจด้วยอุบายของตนทีเดียว. ก็ถ้าพระเถระระลึก
ถึงศีล เอามือลูบท้องรำพึงอยู่ว่า อาหารที่เราบริโภควันวาน วันซืน หรือก่อน
วันซืนนั้นไม่สุก หรือว่า โทษที่เกิดจากอาหารที่ไม่ถูกส่วนกันอย่างอื่น
ไรๆ มีอยู่ อาหารนั้นทั้งหมดจงย่อยไป จงผาสุกเถิด. มารผู้มีบาปก็จะได้
ละอายหายไป. พระเถระหาได้ทำอย่างนั้นไม่จึงได้แต่ใส่ใจโดยแยบคาย.
บทว่า "ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเจ้าเลย" ความว่า เหมือนอย่าง
ว่า เมื่อลูกๆถูกเบียดเบียนมารดาและบิดาก็เป็นอันถูกเบียดเบียนด้วย เมื่อสัทธิ-
วิหาริกและอันเตวาสิถูกเบียดเบียน อุปัชฌาย์และอาจารย์ก็เป็นอันถูกเบียด
เบียนด้วย เมื่อชาวชนบทถูกเบียดเบียน พระราชาก็เป็นอันถูกเบียดเบียน
ด้วย ฉันใด เมื่อสาวกของพระตถาคตเจ้าถูกเบียดเบียน พระตถาคตเจ้าก็เป็น